หญ้าฮี๋ยุ่ม/หญ้ารีแพร์
ชื่อวิทยาศาสตร์: Centotheca
lappacea (L.) Desv.
ชื่อวงศ์: POACEAE (GRAMINEAE)
ชื่ออื่น: ขนหมอยแม่ม่าย
หญ้าอีเหนียว เหนียวหมา เหล็กไผ่
ลักษณะทั่วไป: หญ้าล้มลุก ลำต้นมีเหง้า ลำต้นเหนือดินสูง 60-100
ซม. ไม่มีเนื้อไม้ แผ่นใบรูปหอก เรียงสลับ ขอบมีขนสาก ผิวใบเกลี้ยง
ดอกช่อแบบแยกแขนง ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกย่อยเรียงสลับ ถ้ารูดลงใต้ใบ
จะมีขนนิ่มๆ ถ้ารูดกลับจะสากการ ขยายพันธุ์
เพาะเมล็ด หรือปลูกจากต้นพันธุ์ ชอบดินชุ่ม แสงแดดรำไร
ลำต้นหญ้าฮี๋ยุ่ม:ลำต้นสูง 50-70 เซนติเมตร
ใบหญ้าฮี๋ยุ่ม:ใบมีขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 6.5 -
15.0 เซนติเมตร ตาม ลำต้น
กาบใบ และตัวใบจะเห็นเส้นใบลายเป็นทางยาวชัดเจน ใบมีขน ขอบใบเรียบ บางครั้งมีคลื่นเล็กๆ
ทั้งสองด้าน ลิ้นใบ (ligule) เป็นแผ่นบางๆ สีน้ำตาล (membranous)
สูง 2-3 มิลลิเมตร
ช่อดอกหญ้าฮี๋ยุ่ม:ช่อดอกแบบ panicle ยาว 15 - 43 เซนติเมตร ช่อดอกย่อย(spikelets) มี
2-3 ดอก
ดอกหญ้าฮี๋ยุ่ม:ดอกมีสีเขียว ยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร ก้านสั้นๆ
ที่กาบดอก ด้านล่าง หรือท่อนพันธุ์
สรรพคุณ :หญ้าฮี๋ยุ่ม/หญ้ารีแพร์ยาใช้รักษาแผลให้หุ่มเข้า กินแล้วท้องสบาย
บีบมดลูกให้แห้งขับน้ำคาวปลา มดลูกกระชับเข้าอู่ สำหรับรมบาดแผล หรือต้มล้างบาดแผลให้แห้งเร็ว
บำรุงผิวพรรณ บำรุงข้อต่อเนื้อเยื่อ แก้ปวดเมื่อย ใช้เป็นส่วนผสมของยาพอกกระดูกที่แตกหรือหัก
การใช้หญ้าฮี๋ยุ่มในแม่หญิงที่เพิ่งคลอดลูก
เพื่อช่วยกระชับช่องคลอดทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วและรักษาแผลได้ด้วยช่างเป็นความเฉลียวฉลาดของคนโบราณที่รู้ปัญหาของลูกผู้หญิงและขวนขวายหาสมุนไพรมาช่วยดูแลให้อีกตามหลักวิทยาศาสตร์การใช้ยารมเป็นการใช้ความร้อนช่วยลดการอักเสบและมีสรรพคุณฆ่าเชื้อโรคและหญ้าชนิดนี้เป็นพืชตระกูลเดียวกับไผ่ซึ่งมีสารซิลิกาที่มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูและสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่การต้มกินเป็นประจำจะช่วยบำรุงผิวพรรณบำรุงข้อต่อเนื้อเยื่อแต่คำอธิบายที่เป็นวิชาการเหล่านี้
ก็ยังไม่หนักแน่นเท่ากับประสบการณ์ตรงของปู่ยาตายายซึ่งมีมายาวนานส่วนที่ใช้เป็นยา
ใช้ต้นแก่ โดยจะสังเกตเห็นว่าเริ่มมีดอก มีเมล็ด ล้างให้สะอาด อาจใช้สด หรือ
ผึ่งให้แห้งก่อนใช้ก็ได้
วิธีใช้หญ้าฮี๋ยุ่ม
1. นำหญ้าฮี๋ยุ่มไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำหญ้าประมาณหนึ่งกำมือมาเผาร่วมกับไม้ผุ หรือถ่าน จนเกิดควัน
แล้วจึงนำมาวางไว้ใต้เก้าอี้ที่ผ่านการเจาะรูเป็นวงกโดยให้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรหรือต้องการกระชับช่องคลอด และมดลูก
มานั่งบนเก้าอี้เพื่อทำการรมควัน ระยะเวลาในการรมควันจะรมจนกว่าควันจะหมด
โดยต้องทำติดต่อกันประมาณ 2-5 วัน แล้วแต่กรณี
2.
ใช้หญ้าฮี๋ยุ่มต้มอาบ หรือต้มเอาน้ำล้างแผล จะช่วยสมานแผลให้หายได้เร็วขึ้น
3.
ใช้หญ้าฮี๋ยุ่มต้มน้ำดื่ม จะช่วยให้ผิวพรรณ และบาดแผลกระชับเร็วขึ้น
4.
ใช้หญ้าฮี๋ยุ่มตำ และพอกที่แผล
สถานะ: Halal
หมวดหมู่: สาร
รายละเอียด
วุ้นเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต
วุ้นหรือที่ฝรั่งเรียกว่า "อะการ์” (agar) ซึ่งสกัด จากสาหร่ายโดยอาจมีลักษณะเป็นผง
นอกจากนี้ยังมีชนิดอื่นๆ ที่อาจสกัดจากต้นไม้ จุลินทรีย์ สาหร่าย
ซึ่งก็มีชื่อเรียกยากๆ ต่างกันไป เช่น คาร์ราจีแนน (carrageenan) แซนแทนกัม (xanthangum) เป็นต้น วุ้นทำขนมมี ๒ ชนิด
คือ ชนิดผงและชนิดเส้น ชนิดเส้นมีลักษณะคล้ายเชือกฟาง ขาวใสเส้นยาว
แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับที่ทำแกงจืด วิธีการใช้ก็คือ ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดผงแล้วแช่น้ำสักครู่
พอให้เส้นพองขึ้น แล้วนำไปเคี่ยว ส่วนวุ้นชนิดผงลักษณะเป็นผงสีขาวนวล
บรรจุในถุงพร้อมใช้สะดวก
วิธีการผลิตวุ้นค่อนข้างซับช้อน คือจะต้องนำสาหร่ายแห้งมาขจัดวัสดุเจือปนโดยล้างด้วยน้ำแล้วนำไปตากแห้ง
ทำซ้ำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้ง
จากนั้นนำไปต้มจนสาหร่ายนิ่ม นำไปบดจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปต้มต่อโดยเติมสารต่าง
ๆ เพื่อปรับระดับความเป็นกรดด่างและช่วยในการกรอง เมื่อส่วนผสมต่าง ๆ
เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็นำไปกรอง ทิ้งวุ้นให้แข็งตัวจากนั้นจึงนำไปแช่เย็นเพื่อทำให้น้ำแยกตัวออกจากวุ้นเมื่อได้เวลาตามกำหนดจึงนำวุ้นแช่แข็งออกมาปล่อยให้น้ำแข็งละลายล้างวุ้นด้วยน้ำเย็นทิ้งให้สะเด็ดน้ำแล้วจึงผ่านไปยังขั้นตอนการอบแห้งและบดเป็นผงต่อไปเมื่อเราจะทำวุ้นกิน
ก็นำวุ้นผงสำเร็จรูปต้มใส่น้ำ น้ำตาลแล้วทิ้งไว้ให้วุ้นแข็งตัว
กะทิ (อังกฤษ:
Coconut milk) เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร มีลักษณะเป็นน้ำสีขาวข้นคล้ายนม
ได้มาจากการคั้นน้ำจากเนื้อมะพร้าวแก่ สีและรสชาติที่เข้มข้นของกะทิมาจากน้ำมันมะพร้าวและน้ำตาลมะพร้าวที่อยู่ในเนื้อมะพร้าว
โดยมีรสชาติมันและหวาน
การทำกะทิ
กะทิได้มาจากการนำเนื้อมะพร้าวที่ขูดแล้ว
มาใส่น้ำอุ่นเล็กน้อยให้พอชุ่ม เคล้าให้ทั่ว
และคั้นส่วนผสมผ่านกระชอนหรือผ้าขาวบาง น้ำกะทิที่ได้ในครั้งแรกนี้เรียกว่าหัว กะทิ
น้ำกะทิที่ได้จากการคั้นครั้งที่สองหรือสามเรียกว่าหางกะทิ
หัวกะทิจะเข้มข้นกว่าหาง และเป็นส่วนผสมหลักในการทำอาหาร อร่อย
การนำไปใช้
ใช้ได้มากมายหลายแบบ เช่น
นำไปผัดกับพริกแกง ต้มพอเหนียวผสมเกลือทำ หน้าขนม(บางที่ใช้แป้งข้าวโพดเพื่อให้เหนียวเร็ว)
กะทิสำเร็จรูป
ในปัจจุบันมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์กะทิออกวางจำหน่ายแบบสำเร็จรูป
ทั้งในรูปกะทิผง และผลิตภัณฑ์ยูเอชที เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน
น้ำตา (Sugar)
คือสารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์(monosaccharide)และไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) ซึ่งมีรสหวาน
โดยทั่วไปจะได้มาก จากอ้อยมะพร้าวแต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกอาหารที่มีรสหวานว่าน้ำตาลแทบทั้งสิ้น
เช่น ทำมาจากตาลจะเรียกว่าตาลโตนด
ทำมาจากมะพร้าวจะเรียกว่าน้ำตาลมะพร้าว ทำมาจากงวงจากจะเรียกว่าน้ำตาลจาก
ทำมาจากงบจะเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำมาจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ ทำเป็นน้ำตาลทรายจะเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ
ถ้านำมาทำเป็นเม็ดจะเรียกว่าน้ำตาลทราย
หรือถ้านำมาทำเป็นก้อนแข็งคล้ายกรวดจะเรียกว่าน้ำตาลกรวด ฯลฯ เมื่อพูดถึงน้ำตาล ใครๆ
ก็ต้องคิดว่ามันมีรสหวาน แต่ความจริงแล้วไม่ใช้น้ำตาลทุกชนิดที่จะมีรสหวาน เช่น แล็กโทส (lactose) ซึ่งจะมีอยู่ในนมคนหรือนมวัว เมื่อเราดื่มแล้วจะไม่รู้สึกหวาน แม้ จะกินแล็กโทสเพียงอย่างเดียวความหวานก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดนอกจากนี้แป้งซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญยังประกอบไปด้วยอนุภาคของกลูโคส
6,500 หน่วย ถ้าไม่มีการสลายตัวจะ ไม่มีรสหวานแต่เป็นแหล่งสำคัญของน้ำตาลที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันเวลาที่รับประทานขนมปัง
แป้งจะคลุกเคล้ากับเอนไซม์ในน้ำลาย จนเกิดการสลายตัวทำให้มีรสหวาน คือ มอลโทส (maltose)
ขึ้น และในวันหนึ่งๆ ร่างกายของคนเราจะต้องการน้ำตาลที่ได้จากอาหารประมาณ
100-400 กรัม (ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากแป้ง) น้ำตาลที่เข้ามาในร่างกายไม่ใช่ว่าจะได้รับการดูดซึมแล้วจะนำไปใช้ได้โดยตรง
เพราะนอกจากกลูโคสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็จะต้องถูกออกซิไดซ์ให้กลายเป็นกลูโคสก่อนแล้วจึงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ได้
กระบวนการผลิตน้ำตาลทราย
1.กระบวนการสกัดน้ำอ้อย (Juice Extraction) :ทำการสกัดน้ำอ้อยโดยผ่านอ้อยเข้าไปในชุดลูกหีบ
(4-5 ชุด)
และกากอ้อยที่ผ่านการสกัดน้ำอ้อยจากลูกหีบชุดสุดท้าย
จะถูกนำไปเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ภายในเตาหม้อไอน้ำ
เพื่อผลิตไอน้ำมาใช้ในกระบวนการผลิต และน้ำตาลทราย
2.การทำความสะอาดหรือทำใสน้ำอ้อย (Juice Purification):น้ำอ้อยที่สกัดได้ ทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการทำใส
เนื่องจากน้ำอ้อยมีสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงต้องแยกเอาส่วนเหล่านี้ออกโดยผ่านวิธีทางกล
เช่น ผ่านเครื่องกรองต่าง ๆ และวิธีทางเคมี เช่น โดยให้ความร้อน และผสมปูนขาว
3.การต้ม (Evaporation) :น้ำอ้อยที่ผ่านการทำใสแล้วจะถูกนำเข้าสู่ชุดหม้อต้ม
(Multiple Evaporator) เพื่อระเหยเอาน้ำออก(ประมาณ 70 %) โดยน้ำอ้อยข้นที่ออกมาจากหม้อต้มลูกสุดท้าย
เรียกว่า น้ำเชื่อม (Syrup)
4.การเคี่ยว (Crystallization) :น้ำเชื่อมที่ได้จากการต้มจะถูกนำเข้าหม้อเคี่ยว ระบบสุญญากาศ (Vacuum Pan) เพื่อระเหยน้ำออกจนน้ำออกจนน้ำเชื่อมถึงจุดอิ่มตัว
ที่จุดนี้ผลึกน้ำตาลจะเกิดขึ้นมา โดยที่ผลึกน้ำตาล
และกากน้ำตาลที่ได้จากการเคี่ยวนี้รวมเรียกว่า แมสิควิท (Messecuite)
5.การปั่นแยกผลึกน้ำตาล (Centrifugaling) :แมสิควิทที่ได้จากการเคี่ยวจะถูก นำไปปั่นแยกผลึกน้ำตาลออกจาก กากน้ำตาล
โดยใช้เครื่องปั่น (Centrifugals) ผลึก น้ำตาลที่ได้นี้จะเป็นน้ำตาลดิบ
แมงลัก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum × citriodourum) เป็นพืชล้มลุกในสกุล กะเพรา-โหระพา แมงลักมีใบเล็ก สีอ่อน บอบบาง
ช้ำง่ายและเหี่ยวง่ายกว่า ชื่อสามัญเดิม เรียกกันว่า
hoary basil (hoary แปลว่าผมหงอก) โดยนำมาจากลักษณะที่มีขนอ่อนสีขาวๆ
บริเวณก้านใบและยอดอ่อน ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า lemon basil ตามลักษณะกลิ่นที่ คล้ายส้ม-มะนาว
ส่วนแมงลักศรแดงของไทยเรียกว่า Thai lemon basil
แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกะเพราและโหระพา
ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกงต่างๆ ส่วน เมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้
นอกจากนี้ เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายและ อาหารเสริมลดความอ้วนได้
แมงลักในประเทศไทยนั้น
มี หลากหลายยี่ห้อและหลากหลายสายพันธุ์ ไม่ใช่ ยี่ห้อดังยี่ห้อเดียวอย่างที่เข้าใจ
ลักษณะพันธุ์ที่ดีใบต้องใหญ่พอดิบพอดี ไม่เล็กจนแคระแกร็น ดอกสีขาวเป็นชั้นๆ
คล้ายฉัตร
ต้นแมงลัก:
ส่วนที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็คือ เมล็ดแมงลัก และ ใบ แมงลัก
ซึ่งในส่วนของใบนั้นเรานิยมนำมาใช้ประกอบอาหารหรือใส่เครื่องแกงต่างๆ เช่น แกงเลียง เป็นต้น
ส่วนเมล็ดก็นำมาใช้ทำเป็นขนมอื่นๆได้หรือนำไปผสมกับเครื่องดื่มก็ ได้เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำขิง น้ำใบเตย
(โจ๊กก็ได้นะ) โดยสามารถรับประทานได้ทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่
และยังปลอดภัย
ประโยชน์ของเม็ดแมงลัก
1.เม็ดแมงลัก ลดความอ้วน เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพราะมี สรรพคุณในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี
และยังช่วยเพิ่มการขับออกของกรดน้ำดีด้วย ซึ่งจะไปลดเฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL)
แต่ไม่มีผลใดๆกับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
2.เม็ดแมงลัก ลดน้ำหนัก ตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักและความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน
และมันสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า เมื่อนำมารับประทานเป็นอาหาร
(ควรรับประทานแค่บางมื้อต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาด สารอาหาร) หรือจะรับประทานก่อนอาหารเพื่อทำให้กระเพาะไม่ว่างและรู้สึกอิ่มเป็นการช่วยควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานไปด้วยเป็นอย่างดี
สำหรับวิธีชงเม็ดแมงลักก็คือ ใช้เม็ดแมงลักประมาณ
2 ช้อนชานำมาแช่น้ำ 1
แก้วใหญ่ทิ้งไว้จนพองตัวเต็มนำมาผสมกับน้ำร้อน 1
แก้วที่แล้วนำมารับประทาน (หรือจะผสมกับน้ำผึ้ง น้ำสมุนไพร หรือนมก็ได้)
3.ประโยชน์เม็ดแมงลัก เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย
4.เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะช่วยทำให้การดูด ซึมของน้ำตาลลดลง
เนื่องจากเม็ดแมงลักทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลงอยู่แล้ว
5.เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่รับประทานง่าย กลืนง่ายลื่นคอและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีกากใยอย่างพวก
ผักผลไม้
6.ประโยชน์ของเม็ดแมงลัก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติและมี ประสิทธิภาพ ขับถ่ายสะดวก
7.เม็ดแมงลัก สรรพคุณล้างลำไส้ ช่วยดีท็อกซ์แก้ปัญหาอุจจาระตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ ระบบ ย่อยอาหารผิดติ
ระบบดูดซึมเสีย และขับถ่ายไม่เป็นเวลา (ช่วงเช้า 05.00 – 07.00 น.)
8.รักษาโรคกลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10
ใบนำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำผสมน้ำเล็กน้อย
แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้งประมาณ 1-2
สัปดาห์อาการจะดีขึ้น
9.ใบแมงลักมีสรรพคุณในการช่วยขับเหงื่อ
การใช้ประโยชน์
แมงลัก ใบใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร
เช่น ห่อหมก แกงเลียง อ่อม แกงคั่ว ขนมจีนน้ำยา
พบมากในอาหารอีสาน เมล็ดแชน้ำให้พอง ใช้ทำขนมหรือรับประทานกับน้ำแข็งไส ไอศกรีม
ใบมีฤทธิ์ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ช่วยย่อยอาหาร เมล็ดช่วยย่อย อาหารเป็นยาระบายสกัดน้ำมันหอมระเหยจากใบไปใช้ในอุตสาหกรรมสบู่และเครื่องสำอาง
กิ่งและใบทุบแล้ววางในเล้าไก่ ช่วยไล่ไรตัวเล็กๆได้
โทษของเม็ดแมงลัก
1.การรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ อาจจะเกิดอาการแน่นท้องรู้สึกไม่สบายตัวได้
2.การรับประทานเม็ดแมงลักในขณะที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ อาจจะเกิดการดูดน้ำจากกระเพาะอาหารทำให้เม็ดแมงลักจับตัวกันเป็นก้อนและอุดตันในลำไส้
ซึ่งอาจทำให้ท้องผูกได้เช่นกันถ้ารับประทานแบบผิดวิธี
3.ไม่ควรรับประทานเม็ดแมงลักพร้อมกับกับยาอื่นๆ เพราะจะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้ไม่ดีและน้อยลง
ดังนั้นควรทานยาก่อนสักประมาณ 15-30 นาทีแล้ว ค่อยรับประทานเม็ดแมงลักตาม
4.สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก การรับประทานเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหารหลักควรรับประทานเป็นบางมื้อ
เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆได้
5.อีกสิ่งที่ต้องระวังไว้ก็คือ การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อเม็ดแมงลักที่มีความสะอาดได้มาตรฐานน่าเชื่อถือ
อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่เหมาะสม เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
อาจมีเชื้อราหรือสารพิษอย่างอะฟลาทอกซินปนเปื้อนมาด้วยก็ได้ (สารอะฟลาทอกซิน
เมื่อบริโภคจำนวนมากอาจทำให้อาการท้องเดิน อาเจียน และสะสมเป็นสารก่อมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งตับ)
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Plantae
(unranked): Angiosperms
(unranked): Monocots
อันดับ: Pandanales
วงศ์: Pandanaceae
สกุล: Pandanus
สปีชีส์: P. amaryllifolius
ชื่อทวินาม: Pandanus
amaryllifolius
เตยหอม ชื่อวิทยาศาสตร์: Pandanus
amaryllifolius เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ ลำต้นอยู่ใต้ดิน
ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ใบเป็นทางยาว สีเข้ม
ค่อนข้างแข็ง เป็นมัน ขอบใบเรียบ ในใบมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหย Fragrant
Screw Pine สีเขียวจากใบเป็นสีของคลอโรฟิลล์ ใช้แต่งสีขนมได้
สรรพคุณเตยหอม
ใบเตยหอม
ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดีเนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่าง หลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอมอร่อยและยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วยนอกจากนี้ใบเตยยังประกอบด้วยวิตามิน
และแร่ธาตุสำคัญอีกหลายชนิด โดยใบเตยหอมจะมีเบต้าแคโรทีน, วิตามินซี, วิตามินบี2, วิตามินบี3, ธาตุแคลเซียม,
ธาตุเหล็ก, ธาตุฟอสฟอรัส, คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน และยังให้พลังงานอีกด้วย
1.
ใบเตยหอมช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ
2.
ต้น และรากใบเตยหอมใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
3. ราก และใบ
ของใบเตยหอมช่วยรักษาโรคเบาหวาน
4. ใบเตยหอมช่วยแก้กษัย
5. ใบเตยหอมแก้อาการน้ำเบาพิการ
6.ใบเตยช่วยดับกลิ่นเหม็นหืน
กลิ่นคาวได้เป็นอย่างดี
7. ใบเตยหอมช่วยลดความดันโลหิต
8. ใบเตยหอมช่วยปรับสมดุลร่างกาย
9. น้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี
10.
ใบเตยช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
11. ใบเตยช่วยบรรเทาอาการ
และดับพิษไข้ได้
12. ใบเตยช่วยดับพิษร้อนภายในได้
13. สีเขียวของใบเตยเป็นสีของ
คลอโรฟิลล์ สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมเครื่องดื่มได้
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:พืช (Plantae)
หมวด: Magnoliophyta
ชั้น: Magnoliopsida
อันดับ: Fabales
วงศ์: Fabaceae
วงศ์ย่อย: Faboideae
เผ่า: Cicereae
สกุล: Clitoria
สปีชีส์: Clitoria
ternatea
ชื่อทวินาม: Clitoria
ternatea
อัญชัน (อังกฤษ: Butterfly pea;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Clitoria ternatea L.) เป็นไม้เถา
ลำต้นมีขนนุ่ม
มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือแดงชัน
(เชียงใหม่) และเอื้องชัน, เองชัน (เหนือ)
เมื่อคั้นออกมาจะได้เป็นสีฟ้า
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
อัญชันเป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อน
อายุสั้น ใช้ยอดเลื้อยพัน ลำต้นมีขนปกคลุม ใบ ประกอบแบบขนนก
เรียงตรงข้ามยาว 6-12 เซนติเมตร มีใบย่อยรูปไข่ 5-7ใบ กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบด้านล่างมีขนหนาปกคลุมดอกสีขาว ฟ้า
และม่วง ดอกออกเดี่ยว ๆ รูปทรงคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็นคู่ตาม ซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่ยาว 2.5-3.5
เซนติเมตรกลีบคลุมรูปกลม ปลายเว้าเป็น แอ่ง
ตรงกลางมีสีเหลือง มีทั้งดอกซ้อนและดอกลาดอกชั้นเดียวกลีบขั้นนอกมีขนาดใหญ่กลางกลีบสีเหลืองส่วนกลีบชั้นในขนาดเล็กแต่ดอกซ้อนกลีบดอกมีขนาดเท่ากัน
ซ้อนเวียนเป็นเกลียว ออกดอกเกือบตลอดปี ผลแห้งแตก เป็นฝัก แบน กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร เมล็ดรูปไต สีดำ มี 5-10 เมล็ด
การกระจายพันธุ์
อัญชันมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียเขตร้อน
ก่อนจะถูกนำไปแพร่พันธุ์ในแอฟกา ออสเตรเลีย
และอเมริกา ในลาว ไทย เวียดนาม
สรรพคุณ
•ดอก
ใช้ปลูกผมทำให้ผมดกดำ งามงามมากขึ้น เพราะดอกอัญชันมีสารที “แอนโทไซยานิน”
(Anthocyanin) ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีมากขึ้น
•เมล็ด เป็นยาระบาย
•ราก บำรุงตาแก้ตาฟาง ถูฟันแก้ปวดฟัน ตาแฉะ และปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ
นำรากมาถูกับน้ำฝนใช้หยอดหูและหยอดตา
บล็อก
(อังกฤษ: blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (อังกฤษ: weblog)
เป็น รูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง
ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะ แสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย
ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง
หรือวิดีโอในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของ บล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ
บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความ คิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที
คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า
"บล็อกเกอร์"
บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก
โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น
การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน
นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น
เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้าโดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้นและได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป
เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เว็บค้นหาบล็อกเทคโนราที ได้อ้างไว้ว่าปัจจุบันในอินเทอร์เน็ต
มีบล็อกมากกว่า 112 ล้านบล็อกทั่วโลก
ความนิยม
บล็อกได้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันในวงการสื่อมวลชนในหลายประเทศเนื่องจากระบบแก้ไขที่เรียบง่ายและสามารถตีพิมพ์เรื่องราวได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ใน การเขียนเว็บไซต์ โดยนอกเหนือจากที่ผู้เขียนข่าวส่งผลงานให้กับทางสื่อแล้ว
ยังได้มาเขียนข่าวในอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล หรือแนวความคิด
โดยการเขียนบล็อกสามารถเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
สื่อในด้านอื่น ข่าวที่นิยมในการเขียนบล็อกต่อสื่อมวลชน ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะเรื่องซุบซิบวงการดารา
ข่าวการเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นต้น
การใช้งานบล็อก
ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์เหมือนการใช้งานและอ่านเว็บไซต์ทั่วไปโดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน
เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก
และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน
บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้
ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า
ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง
หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อกสำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไปและสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลงทะเบียนในบางบล็อกนอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด
ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรง
ผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น
สังคมบล็อก
สังคมบล็อก หมายถึง
พื้นที่บนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ที่ต้องการนำเสนอบทความ สามารถแบ่งบัน เรื่องราว
รูปภาพ รูปถ่าย อันส่งผลประโยชน์ แกผู้เข้ารับชม
อันนี้คือสิ่งที่จำกัดความหมายของสังคมบล็อก ตั้งเป้าหมายไว้ โดยผู้ใช้
สามารถที่จะหา ผลประโยชน์จาก บทความที่ตนเอง เป็นผู้นำเสนอ โดยอาจจะมีการ
นำเสนอโฆษณา พร้อมๆ กับการนำเสนอ บทความ แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้ อย่างอิสระอนึ่ง
การใช้งานระบบสังคมบล็อก มีเนื้อหาของการนำเสนอ โดยจะต้องเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ
ผู้นำเสนอ ระหว่างผู้ใช้งานด้วยกัน ไม่อาจจะทำการสำเนา เอกสาร ดังกล่าวได้
เพียงแต่สามารถทำการลิงก์เชื่อมโยง เพื่อส่งผลโดยตรงต่อผู้ใช้งานทั่วไป
ให้สามารถใช้งานระบบได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
บล็อกซอฟต์แวร์
บล็อกซอฟต์แวร์ หรือ บล็อกแวร์
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในอินเทอร์เน็ต ในลักษณะของระบบจัดการเนื้อหาเว็บ
ที่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และผู้เขียนหรือดูแลบล็อกจะแยกจากกันต่างหาก ส่งผลให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้านเอชทีเอ็มแอลหรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด
ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วน ใหญ่ในการ
บริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้
นอกจากนี้บล็อกซอฟต์แวร์จะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน
และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตในหลายแบบให้เลือกใช้
อะโดบี โฟโตชอป (Adobe
Photoshop) มักเรียกสั้นๆว่า โฟโตชอป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีความสามารถในการจัดการแก้ไขและตกแต่งรูปภาพ
(photo editing and retouching) แบบแรสเตอร์
ผลิตโดยบริษัทอะโดบีซิสเต็มส์ซึ่งผลิตโปรแกรมด้านการพิมพ์อีกหลายตัวที่ได้รับความนิยม
เช่น Illustrator และ InDesign ปัจจุบันโปรแกรมโฟโตชอปได้พัฒนามาถึงรุ่น
CC (Creative Cloud)
ประวัติ
นักศึกษาปริญญาเอกจากมิชิแกนชื่อ
ธอมัส โนล (Thomas Knoll) ได้สร้าง ซอฟต์แวร์สำหรับทำภาพสีเฉดเทาขาวดำในชื่อ "ดิสเพลย์"
(Display) ซึ่งต่อมาได้มีการ พัฒนามาเป็นโฟโตชอปในปัจจุบัน บริษัทอะโดบีได้พัฒนาโฟโตชอปให้สามารถใช้งานกับไมโครซอฟท์วินโดวส์ได้
ในโฟโตชอปรุ่น 2.5 หลังจากที่พัฒนารุ่นแรกสำหรับ เครื่องแมคอินทอชเท่านั้น
และได้พัฒนาต่อเนื่องมาจนกระทั่งรุ่นปัจจุบัน รุ่น CC
ความสามารถ
ตกแต่งภาพ
โปรแกรมโฟโตชอปเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการจัดการไฟล์ข้อมูล รูปภาพที่มีประสิทธิภาพการทำงานกับไฟล์ข้อมูลรูปภาพของโฟโตชอปนั้น
ส่วนใหญ่จะทำงานกับไฟล์ข้อมูลรูปภาพที่จัดเก็บข้อมูลรูปภาพแบบ Rasterโฟโตชอปสามารถใช้ในการตกแต่งภาพได้หลากหลาย เช่น ลบตาแดง, ลบรอยแตกของภาพ, ปรับแก้สี, เพิ่มสีและแสง
หรือการใส่เอฟเฟกต์ให้กับรูป เช่น ทำภาพสีซีเปีย, การทำภาพโมเซค,
การสร้างภาพพาโนรามาจากภาพหลายภาพต่อกัน
นอกจากนี้ยังใช้ได้ในการตัดต่อภาพ และการซ้อน ฉากหลังเข้ากับภาพโฟโตชอปสามารถทำงานกับระบบสีRGB,
CMYK, Lab และ Grayscale และ สามารถจัดการกับไฟล์รูปภาพที่สำคัญได้ เช่น
ไฟล์นามสกุล JPG, GIF, PNG, TIF, TGA โดยไฟล์ที่โฟโตชอปจัดเก็บในรูปแบบเฉพาะของตัวโปรแกรมเอง
จะใช้นามสกุลของ ไฟล์ว่า PSD จะสามารถจัดเก็บคุณลักษณะพิเศษของไฟล์ที่เป็นของโฟโตชอป เช่น เลเยอร์,
ชันแนล, โหมดสี รวมทั้งสไลส์ ได้ครบถ้วน





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น